แหล่งท่องเที่ยวและจุดน่าเยี่ยมชมในนครหลวงเวียงจันทน์
ประวัติและความเป็นมา
ตามตำนานอุรังคธาตุหรืออุรังคนิทาน ได้กล่าวไว้ว่า พระธาตุหลวงได้ถูกสร้างขึ้นในคราวเดียวกับการสร้างนครหลวงเวียงจันทน์ หลังจากการสร้างพระธาตุพนมแล้วเสร็จ โดยผู้สร้างคือบุรีจันอ้วยล้วยหรือพระเจ้าจันทบุรีประสิทธศักดิ์ เจ้าเหนือหัวผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรกพร้อมกับพระอรหันต์อีก 5 องค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหัวเหน่า 24 องค์ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากเมืองราชคฤห์ประเทศอินเดีย โดยก่อเป็นอุโมงค์หินคร่อมเอาไว้ อุโมงค์นั้นกว้างด้านละ 5 วา ผนังหนา 2 วาและสูงได้ 4 วา 3 ศอก เมื่อได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วพระเจ้าจันทบุรีฯจึงได้มีพระราชดำรัสให้เสนาอำมาตย์สร้างวิหารขึ้นในเมืองจันทบุรีหรือเวียงจันทน์ในปัจจุบัน 5 หลังเพื่อให้เป็นที่ที่อยู่จำพรรษาของพระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ด้วย
ตามตำราระบุไว้ว่าสร้างในปี พ.ศ. 238 ต่อมาในปีพ.ศ 2109 ในรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชวีระกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านช้าง ได้มีการบูรณะองค์พระธาตุครั้งใหญ่ โดยมีการสร้างพระธาตุองค์ใหม่ครอบองค์พระธาตุเดิมที่มีมาแต่โบราณกาลเอาไว้และขนานนามใหม่ว่า "พระธาตุเจดีย์โลกะจุฬามณี" ซึ่งหมายถึงพระธาตุองค์ใหญ่ แต่ชาวลาวส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า"พระธาตุหลวง" เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ประวัติและความเป็นมา
ประตูไซ หรือ อานุสาวะลี(ในอดีต) ภาษาโรมัน Patuxay หรือ อาร์กเคอทรียงฟ์เดอเลตวล ชื่อเล่น รันเวย์แนวตั้ง เป็นอนุสรณ์สถานตั้งอยู่ท้ายสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของถนนล้านช้าง ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ก่อสร้างในระหว่างปี พ.ศ.2500–2511 เพื่อสดุดีวีรชนผู้ร่วมรบเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส เปิดตัวในปี พ.ศ. 2553 ครบรอบ 450 ปีนครหลวงเวียงจันทน์
ประวัติและความเป็นมา
หอพระแก้ว(ในภาษาลาว ຫໍ່ພຣະແກ້ວ)
หอแก้วเคยเป็นวัดในนครหลวงเวียงจันทน์ของ สปป.ลาว ตั้งอยู่ริมถนนเชดถาทิราด ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์วัดสีสะเกด สร้างเมื่อปี พ.ศ.2108 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตและได้มีการปรับปรุงและซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในประเภทโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เสมือนหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมเชิงประวัติศาสตร์ของนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
ประวัติและความเป็นมา
วัดสีสะเกด(ລາວ: ວັດສີສະເກດ)
เป็นวัดที่มีความสำคัญและเป็นศูนย์รวมจิตใจอีกแห่งหนึ่งของประชาชนชาวลาว อยู่ตรงข้ามกับหอพระแก้วในปัจจุบัน เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกเมื่อคราวสร้างนครหลวงเวียงจันทน์เป็นวัดที่อยู่ในเขตพระราชวังหลวง เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์เสด็จไปสักการะบูชาและประกอบศาสนกิจเป็นประจำจึงถือได้ว่าวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของนครหลวงเวียงจันทน์และเป็นวัดแห่งแรกที่นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนนครหลวงเวียงจันทน์ต้องแวะสักการะกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเดินทางไปจุดอื่น
วัดสีสะเกด: เดิมชื่อว่า"วัดสะตะสะหัสสาราม" ตามหลักศิลาจารึกที่เขียนไว้ข้างประตูซึ่งแปลตามศัพท์หมายถึง "วัดแสน" กล่าวคือเมื่อครั้งที่เริ่มก่อสร้างวัดในคราวเดียวกับที่มีการสร้างนครหลวงเวียงจันทน์ กษัตริย์ผู้ครองนครในขณะนั้นได้ป่าวประกาศเชิญชวนให้ราษฎรร่วมกันสร้างพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ที่วัดแห่งนี้ตามกำลังศรัทธาซึ่งในขณะนั้นนับรวมแล้วได้กว่าแสนองค์ หลังจากที่กาลเวลาได้ล่วงเลยไปปัจจุบันยังคงเหลือพระพุทธรูปอยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์ซึ่งก็ยังถือว่ามีมากกว่าทุกวัดในนครหลวงเวียงจันทน์
ประวัติและความเป็นมา
วัดสีเมืองหรือที่ชาวลาวนิยมเรียกว่า "วัดเจ้าย่าสีเมือง"
สร้างเมื่อพ.ศ 2106 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นวัดที่เป็นที่ตั้งของเสาหลักเมือง ตามคำเล่าขานของชาวลาวแต่โบราณว่า มีสตรีท้องแก่นางหนึ่งชื่อนางสี ได้อาสาที่จะสละชีวิตพร้อมกับลูกที่อยู่ในครรภ์พร้อมม้าอีก 1 ตัว เพื่อเป็นผีเฝ้ารักษาเสาหลักเมือง เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงและเป็นเกียรติประวัติในความเสียสละของนางสี ชาวนครหลวงเวียงจันทน์จึงเรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดสีเมือง" แต่ชาวลาวส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า "วัดเจ้าย่าสีเมือง" ในทุกๆปีก่อนจะมีงานบุญนมัสการพระธาตุหลวง จะต้องมีพิธีกรรมและทำบุญที่วัดศรีเมืองก่อนทุกครั้ง
ว่ากันว่าทั้งชาวไทยและชาวลาวนิยมมากราบไหว้ขอพรเจ้าย่าสีเมืองอยู่ตลอดไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการงานและการทำธุระกิจและและมีผู้คนไม่น้อยต่างก็ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง เราจึงเห็นผู้คนแวะเวียนมาแก้บนอยู่ไม่ขาดสาย สายมูทั้งหลายจึงไม่ควรพลาด
สวนวัฒนธรรมเชียงควน(Xieng Khuan Bhuddha Park)หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ 'เมืองแห่งดวงวิญญาณ" ພາສາລາວ:ສວນວັດທະນະທຳຊຽງຄວນ
ประวัติและความเป็นมา: สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2501 ผู้สร้างคือ ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ท่านเป็นนักพรตหรือนักวิปัสสนา เป็นชาวจังหวัดหนองคาย ช่วงหนึ่งของชีวิตท่านได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝั่ง สปป.ลาว ในปี พ.ศ. 2518 หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่ใน สปป.ลาว มาได้ระยะหนึ่ง
ท่านจึงตัดสินใจข้ามกลับมาที่จังหวัดหนองคายบ้านเกิด หลังจากนั้นท่านก็ได้สร้าง "ศาลาแก้วกู่" ลักษณะเป็นสวนปฏิมากรรมปูนปั้นรูปแบบเดียวกันกับสวนวัฒนธรรมเชียงควนที่ท่านได้สร้างไว้ที่ริมฝั่งโขงฝั่ง สปป.ลาว การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ท่านก็ได้มรณภาพเสียก่อน